วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ตามรอย คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ เครื่องแรก


ตามรอย คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ เครื่องแรก

ปวงชนชาวไทยทั่วประเทศรู้กันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงศึกษาอย่างลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรก ในแง่มุมที่คุณอาจยังไม่รู้

มีหลักฐานชัดเจนว่า พระองค์ทรงสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลด้วยพระองค์เอง, ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทย (Font) ที่มีลักษณะงดงามอ่อนช้อยเพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์, ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ, ทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ และยังทรงประดิษฐ์ ส.ค.ส.ด้วยคอมพิวเตอร์แก่ปวงชนชาวไทยหลายปีติดต่อกัน พระกรณียกิจมากมายเหล่านี้เริ่มต้นมาจาก "Macintosh Plus" คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์เครื่องแรกที่ทรงใช้งาน






ตามข้อมูลที่ปรากฏ ม.ล.อัศนี ปราโมช คือผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งหากนับอายุโดยคร่าวของ Macintosh Plus ก็จะพบว่าคอมพ์ทรงเกียรตินี้มีอายุนับจากการเปิดตัวครั้งแรกในปี 1986 ถึง 24 ปี

ข้อมูลชี้ว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ ม.ล.อัศนี เลือก Macintosh Plus เพราะความสามารถในการเก็บและพิมพ์โน้ตเพลงได้ง่ายดาย การเรียนรู้และใช้งานไม่ยาก แถมยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พิเศษสำหรับเล่นดนตรีตามโน้ตเพลงที่เก็บไว้ได้ด้วย

Macintosh Plus ไม่ใช่เครื่องแมคอินทอชเครื่องแรกของแอปเปิล เนื่องจาก Macintosh 128K และ 512K คือแมคอินทอชเครื่องแรกที่แอปเปิลวางจำหน่ายช่วงวันที่ 24 มกราคม 1984 โดย Macintosh Plus (จำหน่ายปี 1986) นั้นใช้ระบบปฏิบัติการ System 6.0.4, Finder 6.1.4 มาพร้อมหน่วยความจำสำรองในเครื่อง 1 MB และฮาร์ดไดรฟ์ 30MB เท่านั้น

Macintosh Plus ในยุคนั้นถูกมองว่าเป็นผู้พลิกวงการพิมพ์ และออกแบบ โดยราคาจำหน่ายที่สูงมากในขณะนั้น (ราว 2,495 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 74,850 บาท) ทำให้เครื่องไม่แพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป

บริษัท สหวิริยา โอเอ จำกัด เป็นผู้นำเข้า Macintosh Plus และเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์แอปเปิลรายแรกในประเทศไทยในช่วง 24 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ไอสตูดิโออย่างทุกวันนี้

รายงานบอกว่าตั้งแต่นั้น พระองค์ก็ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในงานส่วนพระองค์ทางด้านดนตรี ทั้งการป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้อง ทั้งหมดนี้พระองค์ท่านทรงศึกษาวิธีการใช้เครื่องและโปรแกรมที่เกี่ยวข้องด้วยพระองค์เอง

ปัจจุบัน Macintosh Plus ถูกวางจำหน่ายในร้านประมูลออนไลน์ในราคาเริ่มต้นที่ 23.50 ดอลลาร์ (ราว 705 บาท) เท่านั้น

คอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ในเวลาต่อมา คือ IBM PC Compatible และอีกหลายรุ่นซึ่งมีการพัฒนาขึ้นตามโลกสมัย จุดนี้มีรายงานว่าพระองค์สนพระทัยในเทคนิคการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างมาก บางครั้งจึงทรงเปิดเครื่องออกดูระบบต่างๆ ภายในด้วยพระองค์เอง รวมถึงทรงแก้ไขซอฟต์แวร์ในเครื่องให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ เช่น โปรแกรมภาษาไทย CU WRITER เป็นต้น





แตกต่างเหมือนกัน - GETSUNOVA



ชอบเพราะเพลงนี้มีแนวดนตรีที่ไม่เหมือนเพลงอื่น และเนื้อเพลงบางท่อนมีการร้องซ้ำอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมี ฟังแล้วรู้สึกสนุก และเนื้อหาเพลงใกล้เคียงกับฉันคือฉันต้องการเดินบนเส้นทางที่ฉันตั้งใจไว้คิดไว้แต่ก็มักจะมีใครคอยกำหนดประจำว่าเส้นทางนั้นมันผิด

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore's law คืออะไร

Moore's law คืออะไร
        
  กฎของมัวร์ หรือ Moore's   law   คือ กฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่าจํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ Intel  ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor  นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้
           moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน
          กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น
 ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม

กฎของมัวร์ (Moore's Law)   
          ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ

         พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม

        การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่ม มีพลาน่าทรานซิสเตอร์ 
        คําว่า “กฎของมัวร์” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์   Caltech   นามว่า    Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่า จำนวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้
เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975
..............................................................................

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชื่อ-สกุล

RINYAPAT DARAKUL

R 01010010
I  01001001
N 01001110
Y 01011001
A 01000001
P 01010000
A 01000001
T 01010100

D 01000100
A 01000001
R 01010010
A 01000001
K 01001011
U 01010101
L 01001100

ใช้พื้นที่ทั้งหมด 16 ไบต์

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสข้อมูล

ASCII

        แอสกี (ASCII) หรือ รหัสมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ  ( ASCII: American Standard Code for Information Interchange) เป็นรหัสอักขระที่ประกอบด้วยอักษรละติน เลขอารบิก เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ โดยแต่ละรหัสจะแทนด้วยตัวอักขระหนึ่งตัว เช่น รหัส 65 (เลขฐานสิบ) ใช้แทนอักษรเอ (A) พิมพ์ใหญ่ เป็นต้น

         รหัสแอสกีมีใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือสื่อสารแบบดิจิทัลต่างๆ พัฒนาขึ้นโดยคณะกรรมการ X3 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมมาตรฐานอเมริกา (American Standards Association) ภายหลังกลายเป็น สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกา (American National Standard Institute : ANSI) ในปี ค.ศ. 1969 โดยเริ่มต้นใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1967 ซึ่งมีอักขระทั้งหมด 128 ตัว (7 บิต) โดยจะมี 33 ตัวที่ไม่แสดงผล (unprintable/control character) ซึ่งใช้สำหรับควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์บางประการ เช่น การขึ้นย่อหน้าใหม่สำหรับการพิมพ์ (CR & LF - carriage return and line feed) การสิ้นสุดการประมวลผลข้อมูลตัวอักษร (ETX - end of text) เป็นต้น และ อีก 95 ตัวที่แสดงผลได้ (printable character) ดังที่ปรากฏตามผังอักขระ (character map) ด้านล่าง
รหัสแอสกีได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อ ค.ศ. 1986 ให้มีอักขระทั้งหมด 256 ตัว (8 บิต) และเรียกใหม่ว่าแอสกีแบบขยาย อักขระที่เพิ่มมา 128 ตัวใช้สำหรับแสดงอักขระเพิ่มเติมในภาษาของแต่ละท้องถิ่นที่ใช้ เช่น ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ฯลฯ โดยจะมีผังอักขระที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาษาซึ่งเรียกว่า โคดเพจ (codepage) โดยอักขระ 128 ตัวแรกส่วนใหญ่จะยังคงเหมือนกันแทบทุกโคดเพจ มีส่วนน้อยที่เปลี่ยนแค่บางอักขระ

 


UNICODE

รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสที่สร้างขึ้นมาในระยะหลังที่มี การสร้างแบบตัวอักษรของภาษาต่างๆ รหัสยูนิโค้ดเป็นรหัสที่ต่างจาก 2 ชนิดที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือใช้เลขฐานสอง 16 บิตในการแทนตัวอักษร เนื่องจากที่มาของการคิดค้นรหัสชนิดนี้ คือ เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศและมีการสร้างแบบตัวอักษร (font) ของภาษาต่างๆ ทั่วโลก ในบางภาษาเช่น ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่เรียกว่าภาษารูปภาพซึ่งมีตัวอักษรเป็นหมื่นตัว หากใช้รหัสที่เป็นเลขฐานสอง 8 บิต เราสามารถแทนรูปแบบตัวอักษรได้เพียง 256 รูปแบบที่ได้อธิบายมาข้างต้น ซึ่งไม่สามารถแทนตัวอักษรได้ครบ จึงสร้างรหัสใหม่ขึ้นมาที่สามารถแทนตัวอักขระได้ถึง 65,536 ตัว ซึ่งมากพอและสามารถแทนสัญลักษณ์กราฟิกและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย

 




ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บ
http://www.ns.ac.th/course/webit/lesson2/lesson2_26.htm